วันจันทร์ที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2556

[TH-Trans] บทสัมภาษณ์อีซึงกิ จากนิตยสาร Esquire



ในชีวิตจริง เราไม่สามารถเป็นผู้ชนะได้ตลอด บางครั้งการที่สามารถเอาชนะความปราถนาของตัวเองได้ นั่นก็สวยงามเพียงพอแล้ว ฝนสามารถตกได้ คนเราก็สามารถอ่อนไหวได้,  เราสามารถป่วย เพราะการกินอาหารที่มีประโยชน์ แต่ว่ามันดันหมดอายุเสียแล้ว, การแพ้ที่ดี จะเป็นทักษะด้วยในตัว  ซึ่งอีซึงกิ รู้จักกฎกติการของเกมส์นี้เป็นอย่างดี เขาเป็ต้นแบบของการชนะ


ในเวลาส่วนตัวเขาจะยิ่งแสดงด้านนี้ของเขาได้ชัดขึ้นกว่าเดิม  เขาจะไม่ข้ามเส้น เพื่อความพอใจและความสะดวกสบาย  "เชื่อฟังในสิ่งที่ควรจะเชื่อฟัง, นั่นคือลูกผู้ชายตัวจริง" เขายึดมั่นและทำตามคำแนะนำจากคุณพ่อ มีแค่อีซึงกิคนเดียวที่สามารถทำได้ อย่างน้อยก็คนเดียวในบรรดาคนที่ฉันรู้จัก นี่ก็ 3  ปีมาแล้วนับแต่ครั้งสุดท้ายที่ฉันได้พบเขา ด้วยใบหน้าที่เป็นสันเป็นคมมากขึ้น และดวงตาที่สดใส ครึ่งคนครึ่งมนุษย์ผู้นี้..ไม่สิ..ผมควรจะพูดว่า ผู้ชายในอุมคติคนนี้กับยีนส์ที่สุดยอดของเขา กับผู้ชายอย่างผมเองยังคิดว่า เขามีเสน่ห์ของลูกผู้ชายมากกว่า

ผมมักจะได้ยินว่า อีซึงกิ ยังไม่เป็นลูกผู้ชายพอ การได้ยินแบบนั้นในแต่ละครั้งทำให้ผมกดดันมาก แต่หลังจาก Gu Family Book ผมไม่จำเป็นต้องพยายามและคนก็เริ่มพูดว่าผมกลายเป็นลูกผู้ชายแบบนั้นได้อย่างไรกัน, ผมไม่ได้ทำอะไรเลยจริงๆนะ บางทีนี่อาจจะเป็นของขวัญจากเวลาก็ได้มั้งครับ การที่ได้แสดงกับนักแสดงที่เด็กกว่าอย่างซูจี ทำให้ผมแสดงด้านของการเป็นพี่ชายออกมาโดยธรรมชาติ


กลิ่นอายของฮาวาย ช่างน่าดึงดูดนัก, ไม่แน่ใจว่าจะเป็นการถูกต้องไหมที่จะใส่เรื่องนี้ลงไป แต่ผิวสีน้ำตาลเพราะโดนแสงแดด มันดูสดใสจริงๆ

"นี่เป็นครั้งแรกที่ผมไปฮาวาย ผมได้ยินเรื่องราวดีๆมากมายเกี่ยวกับฮาวายจากผู้คนที่อยู่รอบข้าง ผมก็เลยรู้สึกอยากรู้อยากเห็นไปซะหมด ถ้าไม่เพราะต้องไปถ่ายภาพสำหรับนิตยสาร Esquire, ก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่ผมจะได้มีโอกาสไปฮาวาย?"

ไม่มีการพูดคุยที่ไม่ได้ใช้เลย เขามองมาด้วยสายตาที่อ่อนโยน และยังได้ให้แง่คิดอีกมากมาย แม้แต่กับคำถามที่ผ่านมาแล้ว อย่างในการสัมภาษณ์ Gu Family Book บางครั้งเขาจำเป็นต้องตอบคำถามเดิมๆซ้ำหลายรอบ แต่เขาก็มีความสุขที่ละครได้รับการตอบรับอย่างดีและได้รับความสนใจอย่างมากในหมู่นักข่าว
ในทุกวันนี้ อะไรที่นำมาเล่นใหม่ หรือการออกอากาศทางวิทยุโทรทัศน์ เรตติ้งของละครจะต่ำมากหรือไม่ก็ลดลง แต่ Gu Family Book เรียกเรตติ้งได้ถึง 19.5%  นั่นแสดงให้เห็นถึงความสำเร็จทางด้านงานผลิตได้อย่างชัดเจน

"ถึงแม้ว่าผมจะมีความสุขมากกว่า ถ้าตัวเลขมันเยอะกว่านี้, ผมรู้สึกดีมาก นอกจากเรตติ้งแล้ว Gu Family Book ได้ทำให้เกิดหัวข้อในการพูดคุยมากมาย จากละครเรื่องนี้ ทำให้ผมใจเย็นและอ่อนน้อมมากขึ้น"

อีซึงกิที่ผมรู้จัก, ไม่สิ, อีซึงกิที่โลกรู้จัก คือสัญลักษณ์ของความนอบน้อม

"ความจริงแล้ว ถ้าหากว่ามองในบทบาทที่ได้รับใน Gu Family Book จะเป็นละครที่ทำให้ตัวนำมีความมั่นใจมากๆ ความก้าวหน้าในเรื่องนี้คือ ทั้งหมดจะขึ้นอยู่กับบทที่ผมเล่น ชอยคังชิ ในฐานะวันท้อป (ตัวนำที่สูงสุดที่1) ถ้าหากว่าผมได้เจอกับบทนี้ก่อนหน้านี้ ผมคงพูดแค่ว่า "อาาาา..ขอบคุณมากๆที่ทำให้ผมได้เล่นบทนำในละครที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้" และคงไม่ได้นึกถึงผลอื่นๆ  แต่ตอนนี้ผมได้เรียนรู้อะไรหลายอย่างมาก เพื่อที่จะหาความสมดุลในละคร ทุกๆคนจะต้องทำงานร่วมกัน บางอย่างต้องดำเนินไป ในทำนองเดียวกันกับที่สิ่งอื่นๆก็ต้องแสดงออกมาให้เห็น

เพราะผมเป็นตัวนำ การก้าวของผมสามารถเปลี่ยนบรรยากาศในการถ่ายทำได้ ถ้าหากว่าผมรู้สึกเหนื่อยหรือสูญเสียสมาธิ การถ่ายทำจะได้รับผลกระทบ, Gu Family Book สอนผมว่าอะไรคือ ทีมเวิร์ค"

ผู้กำกับชินวูชุล ได้กล่าวชมว่า ซึงกิไม่เคยบ่นเลยแม้แต่ครั้งเดียว เพื่อนนักแสดงของเขา ยูดงกอน ได้กลายเป็นคนที่ให้คำปรึกษาที่ดี

"รุ่นพี่ยูดงกอน สอนผมดีมากๆ หลังจากเลิกกอง(ถ่ายทำจบ) เขาได้ชวนผมไปทานข้าวที่บ้าน ผมรู้สึกขอบคุณมากเลย ดวงตาที่เปิดเผยตรงไปตรงมาของรุ่นพี่ ผมน่าจะทำมันได้ดีนะ แต่พอเอาเข้าจริง ผมจะทำยังไงมันถึงจะดีล่ะ? ผมรู้สึกปลื้มที่รุ่นพี่ได้มองเห็นศักยภาพของนักแสดงทั้ง 20 คน และทำให้เขาเข้มแข็งมาก ผมได้ความมั่นใจเพิ่มขึ้นเยอะมาก เพราะการสนับสนุนจากเขา"


วิธีที่อีซึงกิพูด ไม่เหมือนกับน้องเล็กในรายการ 1N2D การแสดงออกที่มีชีวิตชีวา และความใสซื่อบริสุทธิ์มาก เขามีพรสวรรค์ที่จะวาดสิ่งที่เขาอยากจะเป็น อย่างที่ทุกๆคนก็รู้สึกได้เช่นกัน

เขาคือความประทับใจ ที่น่าพอใจ

"นั่นเป็นพรครับ ภาพลักษณ์แบบนี้ ไม่ว่าจากรายการวาไรตี้หรือผ่านละคร ทำให้ผู้คนยอมรับในความมานะของผม นี่เป็นการให้สิทธิ์พิเศษที่เยี่ยมยอดที่สุดในชีวิตเลย " นอกจากนี้ยังหมายถึงว่าย่อมมีการคาดหวังมากๆ ด้วยเช่นกัน

"ถ้าผมทำไม่ได้ตามที่ทุกคนคาดหวัง บางทีผมอาจได้รับการวิพากย์วิจารณ์ที่รุนแรงมาก แต่ถึงกระนั้นผมก็ยังรู้สึกมีความสุข ที่ผมสามารถทำงานกับคนที่ดี เพื่อเติมเต็มความหวังนั้น" 

บางที นี่อาจจะเป็นเคสของผู้ชายแสนดีที่ซับซ้อน การพยายามควบคุมตัวเองอย่างเคร่งครัด เพื่อที่จะไปให้ถึงจุดที่ทุกๆคนคาดหวัง

"แบบไม่รู้ตัวเลย นี่ก็ปีที่สิบแล้วนับแต่ผมเดบิ้วท์ ในช่วงเวลานั้น ผู้คนประทับใจในตัวผม ผมไม่สนใจเรื่องนั้นไม่ได้ ผมไม่อยากจะพูดถึงเรื่องอารมณ์ความรู้สึก" "ไม่ๆ ไม่ใช่แบบนั้นนะ" แล้วก็ต้องมาพยายามที่จะอธิบายอะไรเกี่ยวกับตัวเอง, ถ้าหากว่ามีอะไรที่ต้องถูกตำหนิ แทนที่จะไปคิดมาก ว่าคำตำหนินั้นหมายความว่ายังไง  ผมก็จะสนใจว่าจะพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้นเร็วๆได้อย่างไรแทน"


มันรู้สึกเหมือน อีซึงกิ เข้าใจอย่างถ่องแท้ในคู่มือในการสร้างสิ่งที่เรียกว่า อีซึงกิ (หมายถึงเขารู้จักตัวเองเป็นอย่างดี) ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม มันจะเป็นไปได้อย่างไรที่คนๆหนึ่งที่อยู่ในจุดที่สูงสุดของตำแหน่งเขา จะสามารถควบคุมตัวเองได้ขนาดนั้น?

"ผมทำงานอย่างหนักเกี่ยวกับเรื่องนั้น, และผมก็ได้รับอิทธิพลอย่างมากจากคนที่อยู่รอบๆตัวผม แน่นอนครอบครัวของผมเอง  ความอ่อนโยน จะกระด้างขึ้นถ้ากับผู้ชาย แต่จะอ่อนโยนขึ้นถ้ากับผู้หญิง จริงมั๊ยครับ? อย่างในกรณีหลัง ก่อนที่มันจะก่อให้เกิดปัญหาใดๆ ผมต้องตระหนักด้วยตัวเองให้ได้เร็วๆ" 

เพื่อให้เข้าใจมากขึ้น, คนจำนวนมาก รวมไปถึงตัวแทน ในบริษัทที่คอยบริหารจัดการของเขา เป็นผู้หญิง รวมถึงนักร้อง อีซุนฮี ที่เป็นครูสอนร้องเพลงของเขาด้วย อีกอย่างที่ผมสังเกตได้จากอีซึงกิคือ เขาจะอ่อนไหวในเรื่องการ "ถอด" มาก...เพราะแบบนั้นผมเลยรู้สึกประหลาดใจมากที่เห็นเขาได้เปิดเผยร่างกายส่วนบนของเขา ใน The King 2 Hearts และในเรื่อง Gu Family Book ผมรู้สึกได้ว่ามันต้องมีอะไรมากกว่าแค่เพราะการต้องแสดง

" ทุกๆอย่างโอเคหมดเลย แต่ว่าการเผยร่างกายส่วนบนนี่...อย่างไรซะ ไม่มีผู้กำกับคนไหนที่เราจะสามารถละเลยไปได้ ถ้าหากว่าผมไม่สามารถเกลี้ยกล่อมพวกเขาด้วยเหตุผลที่ดีๆได้ จะทำให้ผมดูเหมือนเด็กที่ระมัดระวังตัวแจ, ในระหว่างถ่าย GFB ผมส่งข้อความไปแซวนักเขียน "อาาาา...คุณนักเขียนครับ ตั้งแต่คุณชอบบทที่ต้องถอดเสื้อนี่ จะให้ถอดเสื้อครั้งแรกในตอนที่ 20 ได้ยังไงเนี่ย?  ในละครส่วนใหญ่ นักแสดงจะดูแลรูปร่างอย่างระมัดระวัง เพราะงั้นการถอดเสื้อในตอนเริ่มต้อนนั้นโอเค แต่ในตอนสุดท้ายนี่ รูปร่างได้หายไปหมดแล้ว"



จาก ฮันโฮยจู, ชินมินอา, ฮาจีวอน และ เบซูจี นักแสดงที่เล่นคู่กับเขาล้วนแล้วแต่น่ารักทั้งนั้น แต่ดูเหมือน จะไม่เคยมีเรื่องอื้อฉาวเลย

"สิ่งที่ผมตระหนักคือ การที่จะทำให้ตัวเองตกอยู่ในบทบาทที่เล่นอยู่ในตอนนั้น ผมจำเป็นจะต้องมีความรู้สึกที่ดีต่อนักแสดงฝ่ายหญิงด้วยเช่นกัน น่าจะเหมือนๆกับที่ต้องรู้สึกเกลียดนักแสดงฝ่ายชาย ? นั่นเลยทำให้ไม่รู้สึกอะไรเลย ใน GFB สำหรับผมเธอคือ ดัมยอวูล เสมอ ในโทรศัพท์ของผม เธอก็คือยอวูลเช่นกัน"


จากการที่เขาได้พัฒนาด้านการแสดงไปแล้ว บางทีต่อไปอาจจะมีโอกาสที่เขาจะแสดงภาพยนตร์

" ผมอยากทำงานกับผู้กำกับที่สุดยอด, เพราะผู้กำกับคือคนที่มีผลกระทบมากที่สุดในการทำภาพยนตร์ ผมได้พูด"เยอะมาก" ในการให้สัมภาษณ์ช่วงแรกๆว่า ผมชอบผู้กำกับ บงจุนโฮ (Bong Joon Ho), ชอยดงฮูน (Choi Dong Hoon), และคิมยงฮวา (Kim Yong Hwa) แต่ว่าไม่เคยมีชื่อใครปรากฎให้เห็นเลย (ในบทสัมภาษณ์ : เพิ่มเติมจากผู้แปล ซึงกิหมายถึงเขาไม่เคยเห็นชื่อผู้กำกับเหล่านี้เลยในบทความที่ตีพิมพ์บทสัมภาษณ์ของเขา)   มันจะต้องดีกว่าแน่ๆ ถ้าผมสามารถใส่มันลงไปในบทสัมภาษณ์นี้ได้ว่า ผมอยากทำงานกับ ซองคังโฮ (Song Kang Ho), คิมยูนซอก (Kim Yoon Seok), ชอยมินซิค (Choi Min Sik) , และ รุ่นพี่ฮันซอกคยู! (Han Seok Kyu) "



แต่อีซึงกิ ก็ไม่สามารถที่จะแสดงได้ด้วยตัวคนเดียว เห็นอย่างได้ชัดเลยว่าเขามีสเน่ห์ที่สามารถทำให้คนมีความสุขได้โดยไม่ต้องรู้สึกลำบากเลย เขาได้เปิดเผยในการสัมภาษณ์ว่า เขาอยากทำวาไรตี้โชว์ ที่ขึ้นกับฤดูกาล

"ผมว่า ผมได้สะสมพลังงานเพียงพอแล้วสำหรับวาไรตี้โชว์ และผมก็มีความปราถนาที่จะทำสิ่งใหม่ด้วยตัวผมเอง ถ้าหากว่าผมต้องทำอะไรที่มันเป็นประจำ รายการระยะยาว ผมก็ต้องแสดงเหมือนอีซึงกิเหมือนเดิม แต่ในระบบของฤดูกาล จะมีสิ่งใหม่ๆ เพิ่มเข้ามา ผมอยากจะแสดงด้านที่แตกต่างออกไปของผม" 


แต่นั้นคืออีซึงกิ, ระมัดระวังและรอบคอบอยู่เสมอ สิ่งที่เหมือนเดิมคือกิจกรรมในฐานะนักร้องของเขา นานมาแล้วที่ผลงานเพลงของเขาที่ปล่อยออกมาในขณะที่เขางานยุ่ง ต่างได้รับความนิยม ในกรณีของผมเอง ใน 18 เพลงที่ผมร้องในคาราโอเกะจะต้องมีเพลงของซึงกิ, You Marry Me’ when I am in love, ‘Erase’ when I say good-bye และอื่นๆ

"ผมคิดว่า ผมเริ่มเห็นแก่ตัว ใน GFB, ในขณะที่ผมอยากจะนำเสนอเพลงที่ดีให้กับผู้ฟัง ผมโลภอยากจะตั้งชื่อเพลง ประพันธ์เพลง และร้องโดยนักแสดงนำ มันต้องใช้เวลามากในการที่จะทำเพลงขึ้นมา แต่ผมแค่ต้องการที่อยากจะทำมันด้วยมือของผมเองมากๆ ผมได้เรียนรู้อย่างมากจากสิ่งนี้"

การมองเห็นตัวเองโดยไม่ต้องมีคำเตือนหรือการกระตุ้น นี้คือสิ่งที่อีซึงกิเป็น ใน GFB อีซึงกิได้แต่งเพลงเองชื่อ "Last Word" ไต่อันดับ 1 ในมิวสิคชาร์ต และได้รับความสนใจและเป็นที่นิยมอย่างมาก ในจังหวะที่ผมกำลังจะกล่าวชม เขาได้กล่าวพร้อมกับสะท้อนภาพออกมาก่อน ผมไม่รู้เกี่ยวกับอะไรเลย แต่ผมรู้สึกว่า เขาเป็นคนจริงใจ เพราะแบบนี้ อีซึงกิที่เรารู้จัก เลยเปลี่ยนไป และเพราะแบบนั้น เขาได้เติบโตมา 10 ปีแล้ว เขาได้ใช้ชีวิตวัยรุ่นและวัยในช่วงอายุ 20 กับเราได้อย่างราบรื่นทีเดียว

"ครอบครัวและบริษัท ดูแลดีมาก ดังนั้นผมเลยไม่เคยหายไปจาก กระแสความนิยมเลย หรือแม้แต่จะเดินในทางที่ผิด ในอีก 10 ปีถัดไปอาจจะไม่ง่ายกว่านี้ บางทีผมอาจจะต้องระวังมากขึ้น เพราะว่าผมอยากมีความสุขนานๆ ล่าสุดผมรู้สึกถึงความสำคัญของการเลือก ถ้าหากว่ามีอะไรที่ผมอยากทำ แต่ผมไม่สามารถทำได้ มันเหมือนกับย้อนกลับไปไม่ได้แล้ว ช่วงเวลาสำหรับการทำสิ่งนั้น คือ ณ ช่วงเวลานั้นเท่านั้น" 
(เพิ่มเติมจากผู้แปล : หมายถึง ถ้าจะทำอะไรให้ทำ ณ ตอนนั้นเลย จะไม่ปล่อยเวลาให้ผ่านไปแล้วค่อยกลับไปทำ)

ในโลกของอีซึงกิ ไม่มีอีซึงกิ มีแค่อีซึงกิของพวกเรา ผู้ที่ต้องการออกทีวี เพื่อที่จะทำให้พวกเรามีความสุขมากๆ "อีซึงกิคือ ต้นแบบของการชนะ"***

*** ในแง่ของเกาหลี "ต้นแบบของความชนะ" มีหลายความหมาย เช่น คนที่มีกำลังใจสูงที่จะชนะ, คนที่มีความเป็นไปได้สูงที่จะชนะ, คนที่มั่นคงและกล้าหาญ ... ฯลฯ


Please Take Out with Full Credit, Thank You!!!
EN-Trans : AnnMichelle, special contributor to Everything Lee Seung Gi
Based on : Chinese translation by dlww1234 @ baidu tiebaSpecial thanks to : iGo, my Korean consultant, and to asqdd for providing the original Korean article.
TH-Trans : Airen'e
Twitter : @AirenThailand
Blog : leeseunggiairenthailand.blogspot.com





4 ความคิดเห็น: